บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มกราคม, 2020

จาการ์ตา (ประเทศอินโดนีเซีย)

รูปภาพ
"จาการ์ตา" เป็นเมืองหลวงของอินโดนีเซียตั้งอยู่บนเกาะชวา จัดเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม เราจึงเห็นได้ทั้งสถาปัตยกรรมแบบจีน เนเธอร์แลนด์ และอาหรับ ผสมผสานกับอิทธิพลที่ได้รับมาจากมาลายู และชาวชวา กลายเป็นตึกระฟ้าแบบสมัยใหม่ ที่ได้ผสมทั้งอดีตและปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวสุดๆ เมืองจาการ์ตานับเป็นสวรรค์บนดินของคนที่รักการช้อปปิ้ง จุดที่ต้องไปเช็คอินให้ได้คือ ตามัน อังเกร๊ค มอลล์ (Taman Anggrek Mall) หนึ่งในศูนย์การค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่ราวๆ 360 ตารางกิโลเมตร ภายในมีทั้งหมด 7 ชั้น มีร้านค้ากว่า 500 ร้านค้า มาทั้งทีอย่าลืมไปเช็คอินที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินโดนีเซีย เป็นแหล่งรวมโบราณคดี และประวัติศาสตร์สำคัญเอาไว้ที่เรียกว่า เกอดุง กาจาฮ์ (Gedung Gajah) ตั้งอยู่ภายในเมืองเก่าจาการ์ตา จัตุรัสเมอร์เดก้า (Merdeka Square) บริเวณลานด้านหน้าอาคารมีรูปปั้นช้าง จึงชอบเรียกกันว่าตึกช้างนั่นเอง

อูบุด (ประเทศอินโดนีเซีย)

รูปภาพ
"อูบุด" เป็นเมืองหนึ่งบนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ทางตอนกลางของเชิงเขาในอำเภอกียาญาร์ รัฐบาลสนับสนุนให้อูบุดเป็นเมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรมบาหลี ธุรกิจหลักของเมืองจึงหนีไม่พ้นธุรกิจการท่องเที่ยวเป็นหลัก ความโดดเด่นของที่นี่คือ เป็นศูนย์รวมของที่พัก ที่มีตั้งแต่แบบโฮมสเตย์ไปจนถึงโรงแรมสุดหรูติดอันดับโลก สวยจนแทบลืมหายใจกันเลยทีเดียว พอมาถึงเมืองอูบุดก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศเมืองชนบทแบบดั้งเดิมที่เป็นที่ตั้งของราชวงศ์บาหลี สามารถเยี่ยมชมพระราชวังอันงดงามใจกลางเมือง บอกเลยว่าฟินมาก ส่วนใครที่ชอบงานศิลปะ บอกเลยว่ามาถูกที่แล้ว เพราะที่นี่เป็นศูนย์กลางงานศิลปหัตถกรรมที่จัดว่าเฟื่องฟูสุดๆ โดยรอบๆ เมืองอูบุดเองมี หมู่บ้านจัมปูฮัน (Campuhan) เปอร์เนสตานัน (Penestanan) เปอร์เลียตัน (Peliatan) และเบอร์ตวน (Batuan) เป็นแหล่งชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญในงานหัตถกรรมและงานไม้แกะสลัก ซึ่งมีวางขายอยู่ทั่วเกาะเลย ในตัวเมืองอูบุดเองก็มีทั้งร้านขายของเก่า งานฝีมือต่างๆ สิ่งทอ ภาพวาด เครื่องประดับเพชรพลอยหลากหลายรูปแบบให้ได้ชมกันจนตาลาย หรือจะซื้อกลับไปเป็นของฝากก็ได้ นอก

ดอกบัควีท (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"ดอกบัควีท" เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นเป็นเหลี่ยม กลวง ใบที่อยู่ด้านบนเกือบจะไม่มีก้านใบ ดอกออกเป็นช่อ ก้านดอกสั้นสีแดงกุหลาบจนถึงสีขาว ผลเป็นผลแห้งเมล็ดล่อนสีน้ำตาลดำไปจนเกือบดำ เมล็ดสีเขียวอ่อนแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแกมแดง  การปลูกบักวีตเป็นอาหารพบที่เทือกเขาหิมาลัยตั้งแต่อินเดีย เนปาล ไปจนถึงพม่า จีนและมองโกเลีย รวมทั้งเกาหลีและญี่ปุ่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีปลูกทางภาคเหนือของเวียดนามและไทย บักวีตสามารถเติบโตได้ในดินที่ไม่ดี ปลูกธัญพืชอื่น ๆ ไม่ได้ผล ถ้าดินมีไนโตรเจนหรือความชื้นสูง ทำให้เฝือใบ จังหวัดลาวกาย ทางภาคเหนือเวียดนาม ในช่วงประมาณกลางๆ ปี จะมีดอกTam Giac Mach หรือ ดอกบัควีท (Buckwheat) บานสะพรั่งกระจายเต็มไหล่เขา เหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง ใครที่อยากได้รูปวิวสวยๆ แนะนำว่าห้ามพลาด

โบสถ์ทันดินห์ (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"โบสถ์ทันดินห์" (Tan Dinh Church) ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ เพราะอยู่ภายในเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ จึงเดินทางง่ายเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ ความโดดเด่นคือเป็นโบสถ์ที่มีสีชมพูทั้งหลัง และถูกสร้างขึ้นในสมัยที่เวียดนามอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส โบสถ์ Tan Dinh สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1876 นอกจากสีชมพูแล้ว จุดเด่นที่นี่ก็คือหอคอยหนึ่งเดียวของโบสถ์ที่มีความสูงถึง 60 เมตร โบถส์ทันดินห์จัดว่าเป็นโบสถ์ในโฮจิมินห์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง ถ้าเข้ามาบริเวณด้านในจะเห็นส่วนประกอบต่างๆที่ทาด้วยสีชมพูสดใส ใกล้ๆกับประตูจะมีหอระฆังขนาดใหญ่ 2 แห่ง ที่จะตีบอกเวลาทุกชั่วโมง และด้วยความที่โบสถ์นี้มีสีชมพูหวานแหวว จึงมักมีคู่รักนิยมมาจัดพิธีแต่งงานที่นี่กันบ่อยๆ ด้วย

น้ำตกบ่านซก (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"น้ำตกบ่านซก" หรือว่า น้ำตกเต๋อเทียน ที่เที่ยวเวียดนามที่ยอดฮิตมากๆ ใครที่ชอบเที่ยวธรรมชาติ แนะนำว่าต้องลองมาเที่ยวดู เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ระหว่างประเทศจีน และเวียดนาม เป็นน้ำตกที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามเป็นอย่างมาก สามารถเดินทางมาเที่ยวได้จากฮานอย ใครที่บินไปเที่ยวฮานอย ก็อย่าลืมนั่งรถบัสมาเที่ยวที่น้ำตกบ่านซกดู แล้วรับรองว่าคุณจะตกหลุมรักความสวยงามของน้ำตกบ่านซกไปโดยปริยาย น้ำตกเต๋อเทียน เกิดจากความต่างระดับของแม่น้ำ ซึ่งมีความกว้างประมาณ 200 เมตร และสูงประมาณ 30-70 เมตร หากมองจากด้านบนจะเห็นว่าน้ำตกทางฝั่งเวียดนามจะเป็นน้ำตกที่มีเพียงชั้นเดียว น้ำตกจะไหลลงมาเป็นสายยาวอย่างสวยงาม ส่วนทางด้านฝั่งจีนนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ไหลลดหลั่นกันลงมาอย่างยิ่งใหญ่อลังการ นอกจากความยิ่งใหญ่ของน้ำตกแห่งนี้แล้ว สิ่งที่ทำให้น้ำตกเต๋อเทียนประทับใจนักท่องเที่ยวอีกอย่างก็คือน้ำที่เป็นสีเขียวมรกตใส และธรรมชาติของป่าเขาอันอุดมสมบูรณ์ที่อยู่รายล้อมรอบ ๆ น้ำตก บริเวณด้านล่างของน้ำตกจะมีการทำสะพานไม้ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินเที่ยวชมอย่างใกล้ชิด หรือถ้าหากอยากจะสัมผัสกับน้ำตกแ

วัดหลินอึ๋ง (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"วัดหลินอึ๋ง" อยู่บนเกาะเซินตร่า ทางเหนือของเมืองดานัง เป็นวัดใหญ่ที่สุดของที่นี่ รูปปั้นปูนขาวของเจ้าแม่กวนอิมยืนหันหลังให้ภูเขา หันหน้าออกสู่ทะเลเพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองชาวประมงที่ออกไปหาปลา เสียงระฆังวัดที่ตีประสานกับเสียงคลื่นนั้นช่วยให้ชาวเรือรู้สึกสงบ และสร้างขวัญกำลังใจอย่างดีเยี่ยม บรรยากาศภายในวัดนั้นพอจะมีร่มไม้ใหญ่ให้หลบเงาแดดอยู่บ้าง ช่วยลดความร้อนระอุตอนกลางวัน รอบๆ มีวิหารต่างๆ ข้างในมีรูปปั้นเทพตามความเชื่อของผู้คนแถบนี้ ที่สำคัญอีกอย่างของตรงนี้คือเป็นจุดชมวิวเมืองดานังที่สวยมากๆ เห็นภาพกว้างแบบพาโนรามากันเลย ทางด้านขวาเห็นชายหาด บ๊ายบุต ซึ่งก็เป็นอีกหาดยอดนิยมที่เกาะเซินตร่านี้ ดูเงียบสงบเย็นสบาย ต่างจากบรรยากาศคึกคักของเมืองดานังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม สำหรับองค์เจ้าแม่กวนอิมที่วัดหลินอึ๋งนั้น ขึ้นชื่อมากในการขอพรเรื่องสุขภาพ การทำมาค้าขาย ความแคล้วคลาด และเรื่องขอลูกด้วย ใครกำลังสร้างครอบครัวควรมากราบไหว้เพื่อความมงคลอย่างยิ่ง

ชายหาดหมี่เค (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"หาดหมี่่เค" เป็นหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองดานัง เนื่องจากมีหาดทรายขาวทอดยาวและน้ำทะเลใสสวยงามยิ่งนัก ท้องทะเลที่เงียบสงบประกอบกับสายลมอ่อนๆ เหมาะแก่การว่ายน้ำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมากับเด็กๆ ชายหาดนี้ได้รับความสนใจไปทั่วโลกในช่วงสงครามเวียดนาม เมื่อทหารอเมริกันใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ และเรียกหาดนี้ว่าหาดไชน่า หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ชายหาดนี้ก็เป็นที่นิยมในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว และมีรีสอร์ตหรูผุดขึ้นหลายแห่ง จุดเด่นหลักของเมืองดานัง คือเป็นเมืองตากอากาศที่อยู่ติดทะเล ดังนั้นจึงทำให้เมืองดานังมีชายหาดที่ทอดยาวหลายกิโลเมตร แล้วชายหาดที่ได้รับความนิยมหลักๆ เลยก็คือ “ชายหาดหมี่เค (My Khe Beach)” เนื่องจากเป็นชายหาดที่สวยงาม และมีอาหารซีฟู้ดสดๆ ราคาไม่แพงขายเรียงรายเต็มไปหมด ถ้าใครไปเยือนดานัง แล้วอยากลองชิมอาหารทะเลอร่อยๆ ให้ลองไปที่ชายหาดหมี่เคดู

วัดเฉินก๊วก (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"วัดเฉินก๊วก" เป็นวัดเก่าแก่ของฮานอย อยู่ไม่ไกลจากย่านเมืองเก่า สามารถนั่งรถต่อมาได้เพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น นอกจากภายในวัดจะเป็นนิยมมาสักการะสำหรับชาวเมืองฮานอย และนักท่องเที่ยวแล้วนั้น ยังมีวิวอันงดงาม เพราะตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบฝั่งตะวันตก พร้อมกันนั้นบริเวณวัดยังมีความเงียบสงบเป็นอย่างมาก ด้วยอายุเก่าแก่เกือบ 1,500 ปี เจดีย์เฉินก๊วกเป็นหนึ่งในเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในฮานอย สักการะพระพุทธรูปและแท่นบูชา สถูปทรงสูง และแผ่นจารึก (ศิลาจารึกแห่งเกียรติยศ) ทางประวัติศาสตร์และศิลปะของเวียดนาม เจดีย์นี้ ซึ่งก่อสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 544 ถึงปี 548 ในสมัยราชวงศ์ลี้ แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า “Khai Quoc” ลักษณะเจดีย์มีความวิจิตรงดงามมาก และสร้างตามขนบของแบบสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาทุกประการ โครงสร้างสถาปัตยกรรมดังกล่าวรวมถึงกุฏิสามหลังที่มีชื่อว่า “Tiền Đường” และกระถางธูปด้วย เดินผ่านห้องต่างๆ ที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งเป็นรูปตัวเขียน Công ดูจารึกอักษรตั้งแต่ปี 1639 ที่บอกเล่าถึงประวัติของเจดีย์และพระศรีศากยมุนีปางปรินิพพานซึ่งหล่อด้วยทองคำ

วิหารวรรณกรรมวันเหมียว (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"วิหารวรรณกรรม" ภาษาเวียดนามเรียกว่า วันเหมียว (Van mieu) สร้างใน พ.ศ. 1613 สมัยพระเจ้าหลีแถงห์โตง (Ly Thanh Tong) อุทิศให้แด่ขงจื้อ วิหารนี้อยู่ติดกับกว็อกตื่อยาม (Quoc Tu Giam) เป็นโรงเรียนของพวกขุนนางและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม ต่อมาสมัยราชวงศ์ตรันได้เปลี่ยนชื่อเป็นกว็อกช็อกเวียน (Quoc Hoc Vien) บริเวณตรงหัวมุมทางเข้าด้านหน้าจะมีซุ้มสลักด้วยหินข้อความ “ขอให้ผู้มาเยือนลงจากหลังม้าก่อนที่จะเข้าไปข้างใน” วิหารวรรณกรรมแบ่งออกเป็น 5 ชั้นด้วยกัน ประตูทางเข้าด้านหน้าทำเป็น 2 ชั้น มีประตูรูปวงโค้ง คล้ายก๋งจีน สลักชื่อวิหารวรรณกรรมอยู่ชั้นบนสุด เมื่อลอดซุ้มประตูด้านหน้าเข้ามา จะพบความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ สองข้างทางมีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก 2 บ่อ สังเกตได้ว่ามีการวางแผนผังการก่อสร้างที่ดี คำนึงถึงหลักของฮวงจุ้ยเช่นเดียวกับจีน คงได้รับอิทธิพลนี้มาจากจีน เพราะจีนเคยปกครองเวียดนามมาก่อน สำหรับคนที่อยากชมความงามของสถาปัตยกรรมสวยๆ ของฮานอยสมัยเก่า แนะนำให้มาเก็บภาพที่ “วิหารวรรณกรรมวันเหมียว (Temple of Literature)” ที่ตั้งอยู่ในฮานอย นอกจากจะเป็นวิห

นิงห์บิงห์ (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"นิงห์บิงห์" เมืองตอนใต้ของฮานอย เป็นสถานที่มีความพิเศษทางธรรมชาติ จุดเด่นหนึ่งในนั้น คือ มีพื้นที่ชุ่มน้ำ ในอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาล จนถูกเรียกกันว่า "อ่าวฮาลองบนแผ่นดิน" หรืออีกชื่อหนึ่ง "ฮาลองบก" เป็นสถานที่มีภูมิทัศน์แปลกตา ทั้งเทือกเขา เนินเขาหินปูน และนาข้าวที่ล้อมรอบด้วยยอดเขา 99 ยอด และนิงห์บิงห์ยังเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของประเทศเวียดนามอีกที่หนึ่ง เพราะคณะปฏิวัติของโฮจิมินห์ก็ได้เคยตั้งฐานทัพขึ้นที่นี่เป็นแห่งแรกในการศึกเดียนเบียนฟูและยังเคยเป็นที่ตั้งของพระราชวังเก่าฮวาลือ อายุเก่าแก่มากกว่าหลายร้อยปีนั่นเอง นิงห์บิงห์ เป็นพื้นที่มีทั้งภูมิทัศน์อันงดงามของยอดเขาหินปูน แม่น้ำหลายสายไหลตัดผ่านกัน บางส่วนของพื้นที่จมอยู่ใต้น้ำ หลากหลายส่วนที่ถูกล้อมรอบด้วยผาสูงชัน จึงทำให้สถานที่แห่งนี้งดงามน่าชม น่าค้นหา และยังมีร่องรอยทางโบราณคดีที่เผยให้เห็นการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์สมัยโบราณ ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ

ปราสาทหมีเซิน (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"ปราสาทหมีเซิน" เป็นโบราณสถานในจังหวัดกว๋างนาม ภาคกลางของประเทศเวียดนาม สร้างด้วยศิลปะจามโบราณในสมัยศตวรรษที่ 4 เพื่อใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะ ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู ได้จัดให้เป็นแหล่งมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก  หมีเซินเคยเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของอาณาจักรจามปาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4–15 ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 900 ปี ทำให้โบราณสถานแห่งนี้เป็นที่รวบรวมลักษณะทางด้านศิลปกรรมที่หลากหลาย จัดเป็นกลุ่มโบราณสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีน กลุ่มปราสาทหมีเซินตั้งอยู่บริเวณที่ราบต่ำ มีภูเขาโอบล้อม เนื้อที่ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยปราสาททั้งหมด 73 หลัง แต่ในช่วงสงครามเวียดนาม ทหารเวียดนามได้ใช้ปราสาทหมีเซินเป็นกองบัญชาการ ฝ่ายอเมริกันจึงได้นำเครื่องบินทิ้งระเบิดบริเวณนี้ โบราณสถานจำนวนมากถูกทำลาย ทำให้ปัจจุบันเหลือปราสาทเพียง 22 หลัง

พระราชวังทังลอง (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"พระราชวังทังลอง" สถานที่แห่งนี้เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นด้วยหินทั้งหมด ซึ่งเป็นสมบัติของราชวงศ์ Ho และถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1379 แต่ยังคงหลงเหลือโครงสร้างให้เห็นในปัจจุบัน อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม เพราะเป็นราชวังหินแห่งเดียวหลงเหลืออยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ยาวนาน  จึงถูกยกย่องให้เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของสถาปัตยกรรมในสมัยนั้น ๆ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างโดยใช้เทคโนโลยีในแบบสมัยก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าพิศวงว่าคนสมัยนั้นสามารถสร้างพระราชวังที่งดงามอย่างนี้ได้อย่างไร

ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (ประเทศเวียดนาม)

รูปภาพ
"ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง" ถือเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม โดยเป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากที่ราบสูงทิเบตแล้วไหลมาทางทิศใต้ผ่าน 7 ประเทศ ไหลออกสู่ทะเลจีนใต้ที่บริเวณนี้ โดยบริเวณที่เกิดการสะสมตัวของตะกอนในลักษณะของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำนั้นพบว่าแม่น้ำโขงมีการแตกออกเป็นสาขาย่อย ๆ หลายสาขา ปัจจุบันพบว่าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีความกว้างของดินดอนสามเหลี่ยมใหญ่ที่สุดที่หนึ่งของโลกและกินพื้นที่ 39,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นสัดส่วนโดยมากของพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม พื้นที่ของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงส่วนที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำนั้นขึ้นกับแต่ละฤดู เพราะปริมาณน้ำไม่เท่ากัน จากการศึกษาพบว่าบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนั้นมีการพัดพาของน้ำมาประมาณ 470 ลูกบากศ์กิโลเมตรต่อปี ซึ่งน้ำที่ไหลมาในบริเวณนี้ได้พัดพาตะกอนมาตกสะสมประมาณ 790,000-810,000 ตารางกิโลเมตรต่อปี นอกจากนี้พบว่าเมื่อประมาณ 6,000 ปีที่ผ่านมา มีการพอกของตะก